เมื่อคุณตัดสินใจจะเปิดร้านค้าออนไลน์ ความคิดแรกๆ ที่เข้ามาในหัวคือ “จะใช้ แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ เจ้าไหนดี?” และในสนามรบนี้ สองชื่อที่โดดเด่นและทรงพลังที่สุดก็คือ Shopify และ WooCommerce ซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตที่เจ้าของธุรกิจ SME จำนวนมากต้องตัดสินใจ บางคนบอกว่า Shopify ใช้ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ในขณะที่บางคนบอกว่า WooCommerce ยืดหยุ่นและเป็นของเราอย่างแท้จริง แล้วความจริงคืออะไร? Shopify ดีไหม สำหรับตลาดไทย? หรือ WooCommerce คือคำตอบสุดท้าย? ในปี 2025 ที่บริบทของ E-commerce ไทยมีความเฉพาะตัวสูง ทั้งในเรื่องระบบชำระเงินและขนส่ง การเลือกแพลตฟอร์มที่ “ใช่” จึงสำคัญกว่าที่เคย บทความนี้ GinieDigital จะพาคุณมาเปรียบเทียบ WooCommerce vs Shopify แบบเจาะลึกทุกมิติ เพื่อช่วยให้คุณเลือกบ้านหลังแรกบนโลกออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณที่สุด
ทำความรู้จักสองยักษ์ใหญ่
ก่อนจะเปรียบเทียบ เรามาทำความรู้จักธรรมชาติของทั้งสองแพลตฟอร์มกันก่อน
Shopify: The All-in-One Solution (โซลูชันครบวงจร)
Shopify คือแพลตฟอร์มแบบ SaaS (Software as a Service) หรือซอฟต์แวร์สำเร็จรูป คุณจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อ “เช่า” ระบบร้านค้าที่มีทุกอย่างพร้อมใช้งาน ตั้งแต่โฮสติ้ง, ความปลอดภัย, ไปจนถึงระบบหลังบ้านที่ออกแบบมาอย่างดี ข้อดีคือความง่าย คุณแทบไม่ต้องมีความรู้ทางเทคนิคก็สามารถเปิดร้านได้ แต่ข้อเสียคือคุณมีข้อจำกัดในการปรับแต่งและต้องอยู่ในกฎของ Shopify
WooCommerce: The Flexible Powerhouse (ขุมพลังที่ยืดหยุ่น)
WooCommerce ไม่ใช่แพลตฟอร์มสำเร็จรูป แต่เป็น “ปลั๊กอิน (Plugin)” ฟรีสำหรับ WordPress ซึ่งเป็นระบบจัดการเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก มันเปลี่ยนเว็บ WordPress ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้า E-commerce เต็มรูปแบบ ข้อดีคือความยืดหยุ่นและการเป็นเจ้าของ 100% คุณสามารถปรับแต่งทุกอย่างได้ตามใจชอบ แต่ข้อเสียคือคุณต้องรับผิดชอบในการหาโฮสติ้ง, การติดตั้ง, และการดูแลรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเอง

ตารางเปรียบเทียบหมัดต่อหมัด: WooCommerce vs Shopify สำหรับตลาดไทย
| ปัจจัย (Factor) | Shopify | WooCommerce |
|---|---|---|
| ความง่ายในการใช้งาน | ยอดเยี่ยม (เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น) | ปานกลาง (ต้องมีความรู้ WordPress พื้นฐาน) |
| ค่าใช้จ่าย | รายเดือนคงที่ + ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม | ยืดหยุ่น (จ่ายค่าโฮสติ้ง, โดเมน, ปลั๊กอินเสริม) |
| การปรับแต่ง | จำกัด (ทำได้ผ่าน Theme และ App ที่มีให้) | ไร้ขีดจำกัด (Open-source ปรับโค้ดได้) |
| Payment Gateway ไทย | เชื่อมต่อง่าย (Omise, 2C2P, Stripe) | เชื่อมต่อง่าย (มีปลั๊กอินสำหรับทุกเจ้า) |
| ระบบขนส่งไทย | เชื่อมต่อง่าย (Flash, Kerry, ไปรษณีย์ไทย) | เชื่อมต่อง่าย (มีปลั๊กอินหลากหลาย) |
| SEO | ดี (แต่ปรับแต่งเชิงลึกได้จำกัด) | ยอดเยี่ยม (ปรับแต่งได้ทุกส่วนผ่านปลั๊กอิน) |
| การดูแลรักษา | ง่าย (Shopify ดูแลให้ทั้งหมด) | ต้องทำเอง (อัปเดต, สำรองข้อมูล, ความปลอดภัย) |
| การสนับสนุน (Support) | ยอดเยี่ยม (มีทีม Support 24/7) | ผ่าน Community Forum หรือจ้างผู้เชี่ยวชาญ |
Export to Sheets
เจาะลึก 5 ปัจจัยตัดสินใจสำหรับธุรกิจไทย
1. ความง่ายในการใช้งาน vs. ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง
- Shopify: ชนะขาดในเรื่องความง่าย ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ต้องการเปิดร้านให้เร็วที่สุดและไม่อยากยุ่งกับเรื่องเทคนิค Shopify คือคำตอบ
- WooCommerce: ชนะในเรื่องความยืดหยุ่น ถ้าคุณต้องการสร้างร้านค้าที่มีฟังก์ชันเฉพาะตัว, ต้องการปรับแต่งดีไซน์อย่างอิสระ, หรือวางแผนจะสร้างคอนเทนต์ (Blog) ควบคู่ไปกับการขายอย่างจริงจัง WooCommerce ให้พลังในการควบคุมที่เหนือกว่า
2. ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นและค่าใช้จ่ายแฝง
- Shopify: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นชัดเจนตามแพ็กเกจรายเดือน แต่ต้องระวัง “ค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม (Transaction Fees)” ที่จะถูกหักจากยอดขายของคุณ (ยกเว้นใช้ Shopify Payments) และค่า App เสริมรายเดือนที่อาจเพิ่มขึ้นตามฟังก์ชันที่คุณต้องการ
- WooCommerce: ตัวปลั๊กอินเองนั้นฟรี แต่คุณต้องจ่ายค่าโฮสติ้งและโดเมนเอง ซึ่งมีราคาหลากหลาย และอาจมีค่าใช้จ่ายสำหรับ Theme หรือปลั๊กอินเสริมแบบซื้อขาด แม้จะดูยุ่งยากกว่า แต่ในระยะยาวมักจะมีต้นทุนรวมที่ต่ำกว่าและไม่มีค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรม
3. การเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินและขนส่งในไทย
ข่าวดีคือในปี 2025 ทั้งสองแพลตฟอร์มรองรับ ระบบชำระเงินออนไลน์ และบริษัทขนส่งเจ้าหลักๆ ในไทยได้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Omise, GB Prime Pay, Stripe หรือ Kerry Express, Flash Express ต่างก็มีปลั๊กอินหรือ App ให้เชื่อมต่อได้อย่างสะดวกสบาย ปัจจัยนี้จึงไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญอีกต่อไป

4. SEO และการตลาด
- Shopify: มีเครื่องมือ SEO พื้นฐานมาให้ครบถ้วนและใช้งานง่าย แต่การปรับแต่งเชิงลึก เช่น โครงสร้าง URL หรือการทำ Redirect ที่ซับซ้อน อาจทำได้จำกัด
- WooCommerce: เมื่อใช้ร่วมกับปลั๊กอิน SEO อย่าง Yoast SEO หรือ Rank Math มันจะกลายเป็นเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังมาก คุณสามารถปรับแต่งได้ทุกรายละเอียด ทำให้ WooCommerce มักจะเป็นที่ชื่นชอบของนักการตลาดที่ต้องการทำ SEO อย่างเต็มรูปแบบ
5. การดูแลและบำรุงรักษา
- Shopify: คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย Shopify จะจัดการเรื่องความปลอดภัย, การอัปเดต, และการสำรองข้อมูลให้ทั้งหมด
- WooCommerce: “อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง” คุณคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการอัปเดต WordPress, ปลั๊กอิน, และดูแลเรื่องความปลอดภัยของโฮสติ้งด้วยตัวเอง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหรือต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญดูแล
กรณีศึกษา: ดูตัวอย่างจริงในไทย
- Shopify : GENTLEWOMAN (gentlewomanonline.com) แบรนด์แฟชั่นชื่อดังของไทยเลือกใช้ Shopify ในการสร้างประสบการณ์ E-commerce ที่สวยงามและใช้งานง่าย สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งของ Shopify ในการสร้างร้านค้าที่ดูดีระดับสากลและเปิดตัวได้อย่างรวดเร็ว
- WooCommerce : All About You Organics (allaboutyou.co.th) ร้านค้าปลีกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกที่ใช้ WooCommerce บน WordPress พวกเขาสามารถผสานส่วนของร้านค้าเข้ากับคอนเทนต์ (Blog) ที่ให้ความรู้ได้อย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของ WooCommerce ในการสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมากกว่าแค่ร้านค้า
สรุป: แล้วใครคือผู้ชนะสำหรับคุณ?
ศึก WooCommerce vs Shopify ไม่มีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว แต่มี “ผู้ที่เหมาะสมกว่า” สำหรับธุรกิจของคุณ
- เลือก Shopify ถ้า: คุณเป็นผู้เริ่มต้น, ต้องการเปิดร้านให้เร็วที่สุด, ไม่ต้องการยุ่งกับเรื่องเทคนิค, และยอมรับค่าใช้จ่ายรายเดือนและค่าธรรมเนียมเพื่อแลกกับความสะดวกสบาย
- เลือก WooCommerce ถ้า: คุณต้องการควบคุมทุกอย่าง 100%, ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูงสุด, วางแผนจะทำ Content Marketing และ SEO อย่างจริงจัง, และไม่กังวลกับการดูแลจัดการทางเทคนิคด้วยตัวเอง (หรือมีทีมงานดูแล)
ทำไมถึงเชื่อใจเราได้ (Why You Can Trust GinieDigital)
ที่ GinieDigital เราเชี่ยวชาญในการพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ทั้งบนแพลตฟอร์ม Shopify และ WooCommerce เราไม่ได้เข้าข้างฝั่งใดฝั่งหนึ่ง แต่เราทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อวิเคราะห์ความต้องการทางธุรกิจ, งบประมาณ, และเป้าหมายในระยะยาว เพื่อให้คำแนะนำที่เป็นกลางและเลือก แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ประสบการณ์ของเราทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ว่าคุณจะเลือกเส้นทางไหน เราก็สามารถสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จให้คุณได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
แพลตฟอร์มไหนดีกว่าสำหรับ SEO?
โดยทั่วไปแล้ว WooCommerce ให้ความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง SEO เชิงลึกได้มากกว่าผ่านปลั๊กอินต่างๆ อย่างไรก็ตาม Shopify ก็มีพื้นฐาน SEO ที่ดีและเพียงพอสำหรับร้านค้าส่วนใหญ่ หากทำอย่างถูกวิธี ทั้งสองแพลตฟอร์มก็สามารถติดอันดับสูงบน Google ได้
ถ้าเลือกไปแล้ว สามารถย้ายแพลตฟอร์มในภายหลังได้หรือไม่?
ทำได้ครับ แต่เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องย้ายข้อมูลสินค้า, ข้อมูลลูกค้า, และประวัติการสั่งซื้อทั้งหมด การวางแผนและเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมตั้งแต่แรกจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
Shopify Payments ในไทยใช้งานได้ดีแค่ไหน?
Shopify Payments เปิดให้บริการในไทยแล้ว ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมเพิ่มเติมของ Shopify (จ่ายแค่ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตตามปกติ) ทำให้การจัดการทางการเงินง่ายขึ้น แต่ก็ควรเปรียบเทียบฟีเจอร์กับ Payment Gateway เจ้าอื่นในไทยประกอบการตัดสินใจ
WooCommerce ต้องการโฮสติ้งแบบไหน?
สำหรับร้านค้า WooCommerce แนะนำให้เลือกใช้โฮสติ้งที่มีประสิทธิภาพสูงและออกแบบมาสำหรับ WordPress โดยเฉพาะ (Managed WordPress Hosting) เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์จะโหลดได้รวดเร็วและมีความปลอดภัยสูง ไม่ควรใช้ Shared Hosting ราคาถูกทั่วไป
ระหว่างสองเจ้านี้ มีแพลตฟอร์มอื่นสำหรับคนไทยอีกไหม?
มีครับ ในไทยก็มีแพลตฟอร์มร้านค้าสำเร็จรูปอื่นๆ เช่น LnwShop หรือ MakeWebEasy ซึ่งอาจจะใช้งานง่ายกว่าสำหรับผู้เริ่มต้นและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า แต่ก็อาจมีข้อจำกัดด้านการปรับแต่งและฟีเจอร์เมื่อเทียบกับสองยักษ์ใหญ่อย่าง Shopify และ WooCommerce
References
- Shopify. (2025). Official Shopify Thailand homepage and pricing. https://www.shopify.com/th
- WooCommerce. (2025). WooCommerce for WordPress – Official Website. https://woocommerce.com/
- Kinsta. (2025). WooCommerce vs Shopify: Which Is Better for Your Store?. A detailed technical and business comparison from a major web hosting company. https://kinsta.com/blog/woocommerce-vs-shopify/